ในพื้นที่อันวุ่นวายของใจกลางเมืองแถวสาทร ถ้ามองลงมาจากตึกสูง อาจจะพอมองเห็นกลุ่มต้นไม้เขียว ๆ กระจุกอยู่ในพื้นที่รูปทรงแคบยาว ดูเป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่หลงเหลืออยู่ในบริเวณข้างเคียง (neighborhood) ตัดกับรูปทรงเหลี่ยมของตึกกล่องของอาคาร สำนักงาน และบ้านพักอาศัยโดยรอบ และที่นี่ เจ้าของมีความตั้งใจอยากจะสร้างโรงเรียนอนุบาลขนาดแปดห้องเรียน สำหรับเด็กขวบครึ่งถึงห้าขวบ โดยมีความเชื่อในแนวทางการเรียนรู้แบบ Reggio Emilia ที่ว่า เด็กไม่ได้เป็นแค่ผู้รับความรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ให้ความรู้อีกด้วย และด้วยแนวทางนี้ สิ่งแวดล้อมถือเป็นคุณครูคนที่สามของเด็ก โดยเชื่อว่าเด็กจะสามารถแสดงออกได้อย่างเสรีถ้าพวกเขาได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้พวกเขาค้นหา มีปฏิสัมพันธ์ และแสดงออกทางความคิด สถาปัตยกรรมจึงมีบทบาทสำคัญมากที่จะช่วยให้เด็ก ๆ ออกไปเรียน เล่นและสัมผัสกับธรรมชาติรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนในบริบทเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ที่นับวันจะหาพื้นที่สีเขียวได้ยากเหลือเกิน
เมื่อเราเดินเข้าไปในพื้นที่โครงการครั้งแรกก่อนที่จะเริ่มออกแบบ เราสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง จากอากาศร้อน ๆ ที่ถนน พอเดินเข้าไปอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ มีลมพัดผ่าน ความรู้สึกสบายก็เข้ามาแทนที่ความอึดอัด เงยหน้าขึ้นไปเห็น แสงแดดที่ลอดเข้ามาผ่านใบไม้หลากหลายรูปทรง ก่อให้เกิดเงาหลากหลายบนพื้น มีเสียงลมพัด เสียงแมลง เราอยากให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสธรรมชาติแบบเดียวกันในเวลาที่พวกเขาวิ่งเล่นอยู่ในโรงเรียนนี้ และจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อต้นไม้ใหญ่เหล่านี้จะต้องยังคงอยู่เมื่อมีการสร้างโรงเรียน
เรามองเห็นภาพห้องเรียนที่แทรกตัวเองอยู่ใต้ต้นไม้ เพื่อให้ทั้งห้องเรียนและที่วิ่งเล่น (ห้องเรียนนอกห้องเรียน) ไม่ร้อน และมีพื้นที่ที่ส่งเสริมให้เด็ก ๆ วิ่งเข้าวิ่งออกมาเล่นข้างนอกได้โดยอิสระ พื้นที่ที่เชื่อมต่อกันทั้งหมดสามารถเย็นได้ด้วยลมธรรมชาติ ดังนั้นตัวอาคารเองต้องไม่บังลม ส่วนห้องเรียนที่โดยมากจะใช้แอร์ก็น่าจะมีทางเลือกที่ไม่เปิดแอร์ได้เป็นบางวัน
“เราใช้การจำลองสภาพแวดล้อมในคอมพิวเตอร์ (simulation) เพื่อเช็คทิศทางการไหลของลมที่เข้าและออกจากพื้นที่โครงการ เพราะว่าที่ตั้งโครงการมีอาคารล้อมรอบไปหมด ทำให้ลมไม่ได้ไหลเข้ามาในทิศใต้อย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับไหลเข้ามาจากทางด้านหลังและออกทางด้านหน้าซึ่งเป็นด้านที่แคบ”
ในการออกแบบ เรามองอาคารเป็นภาพตัดของพื้นที่การเรียนรู้ภายใน กึ่งภายในภายนอก และภายนอกที่เชื่อมต่อกัน กวาดตัวเองไปรอบกลุ่มต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่เดิม ทำให้เกิดเป็นคอร์ทเล็ก ๆ สองคอร์ท ที่เชื่อมต่อกันด้วยพื้นที่ชานใต้หลังคา ที่เราเรียกว่าเป็นช่องลม เพราะมีการเจาะให้ลมสามารถทะลุจากด้านหลังออกมายังด้านหน้าพื้นที่ได้ และทำให้การดูแลเด็ก ๆ เป็นไปได้โดยง่าย อยู่ตรงไหนก็มองเห็นกันทั้งหมด ส่วนชานที่เชื่อมอาคารด้านหน้ากับด้านหลัง ที่ชั้นสองมีการเจาะเป็นวงกลมเพื่อเชื่อมต่อทางสายตาจากชั้นสองมายังชั้นหนึ่ง รูปทรงโค้งของอาคารที่ไหลไปตามกลุ่มต้นไม้ ยังช่วยให้ลมพัดผ่านได้สะดวก และตลอดแนวอาคารมีการเจาะช่องลมเล็ก ๆ เพิ่มเติม เพื่อช่วยให้พื้นที่กึ่งภายในภายนอกรับลมธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น
คอร์ทด้านหน้ามีบ้านต้นไม้สำหรับการเล่นที่มีการเคลื่อนไหวมากกว่า และคอร์ทด้านหลังเป็นคอร์ทสำหรับ Sensory Play หรือการฝึกประสาทสัมผัสด้านต่าง ๆ พื้นที่กึ่งภายในภายนอกที่เชื่อมต่อกับห้องเรียน ใช้เป็นส่วนขยายของห้องเรียนที่เปิดได้สุดออกไปยังคอร์ทใต้ร่มไม้ด้านนอก ตัวห้องเรียนออกแบบให้ 2 ห้องสามารถเชื่อมต่อกันได้ มีหน้าต่างสูงทั้งสองด้านเพื่อรับแสงธรรมชาติ และช่วยให้เกิดการไหลเวียนของลม ห้องเรียนชั้นบนมีหลังคาเอียงและหน้าต่างสูง clerestory ที่รับแสงธรรมชาติที่ไม่ร้อน เพราะมีเงาจากต้นไม้ในคอร์ท มีการจำลองเรื่องทิศทางแดดและปริมาณแสงธรรมชาติที่เข้ามายังห้องเรียน เพื่อให้แน่ใจว่าห้องเรียนมีการบังแดดที่เพียงพอ สมดุลกับปริมาณแสงธรรมชาติที่ต้องการ ทำให้ห้องเรียนโดยมากไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ
โรงเรียนเรนทรี ที่มีชื่อมาจากต้นจามจุรีหลายต้นที่มีอยู่ในพื้นที่โครงการ และเป็นชื่อที่แสดงความตั้งใจของเจ้าของโครงการที่อยากให้เด็ก ๆ ได้มีพื้นที่การเรียนที่ทำให้พวกเขาได้วิ่งเล่น ค้นหา และคุ้นเคยกับธรรมชาติรอบตัว ทั้งที่อาศัยอยู่ใจกลางเมือง การดูว่าโรงเรียนสามารถเป็นพื้นที่สร้างการเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์ให้กับเด็กได้ จึงไม่ได้อยู่ที่การมองรูปลักษณ์ของตัวอาคารจากภายนอก แต่เป็นการมองที่คุณภาพชีวิตของผู้ใช้อาคาร ซึ่งก็คือเด็ก ๆ และคุณครูผู้สอน
โครงการ : Raintree International School
Owner : Raintree Education
ถนนนางลิ้นจี่ สาทร กรุงเทพมหานคร
พื้นที่ใช้สอย 1,500 ตารางเมตร
ออกแบบสถาปัตยกรรม : GreenDwell
“เป็นโครงการที่ได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมรุ่นใหม่ดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2562
จากสมาคมสถาปนิกสยามฯ ภายใต้หัวข้อ Living Green”
เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมโรงเรียนหลายครั้ง และพูดคุยกับคุณครูและเจ้าของโรงเรียนซึ่งตอนนี้เปิดมาสามปีแล้ว เรามีคำถามหลายคำถาม เกี่ยวกับการออกแบบที่ส่งผลกับการเรียนรู้ของเด็ก พบว่าเด็กที่โรงเรียนดูจะมีความสุขกับการออกไปวิ่งเล่นข้างนอก ใช้พื้นที่ชานต่าง ๆ หรือแม้แต่การนั่งอยู่ในห้องเรียน ที่ยังสามารถมองออกไปเห็นต้นไม้ได้ แล้วก็ไม่ได้ทำให้เด็กเสียสมาธิแต่กลับทำให้เด็กสามารถเอาใจใส่กับสิ่งที่คุณครูกำลังพูดอยู่ได้ เพราะเด็กรู้สึกว่าไม่ถูกขังอยู่ในห้องเรียน เรามีพื้นที่เล็ก ๆ ด้านหลังห้องเรียนที่เป็นพื้นที่กึ่งภายนอกเหมือนกัน คุณครูบอกว่าถ้ามีเด็กคนไหนที่เครียดหรือควบคุมตัวเองไม่ได้อยากจะออกนอกห้อง ก็สามารถออกไปเล่นด้านหลังได้ สักพักเด็กก็จะสงบและกลับเข้าห้องเรียนได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ภาพรวมของเด็ก ๆ ที่นี่ คุณครูใช้คำว่า “สงบ” และคุณครูก็มีกิจกรรมหลายอย่างที่ทำให้เด็ก ๆ ออกไปใช้พื้นที่ชานและด้านนอกในช่วงเวลาเรียน
การมีต้นไม้ใหญ่และพื้นที่สีเขียวแบบนี้ ไม่ใช่แค่ทำให้เด็กได้มีที่วิ่งเล่นใต้ร่มไม้เท่านั้น แต่ระบบนิเวศเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เด็ก ๆ ใช้ชีวิตร่วมกับสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วหลายรูปแบบ อย่างหนอนผีเสื้อ ที่เด็ก ๆ นำมาเลี้ยง ดูวงจรชีวิตของจากหนอนไปเป็นผีเสื้อ และคุณครูก็หยิบเอานิทานอย่างหนอนผีเสื้อกินจุมาเล่าประกอบ หรือสิ่งมีชีวิตที่ตัวใหญ่กว่านั้นอย่างกิ้งก่าตัวสีฟ้า ที่เด็ก ๆ ชอบมาก และยังทำให้เจ้าของโรงเรียนตัดสินใจใช้ระบบกำจัดแมลงรบกวนโดยวิธีธรรมชาติเพื่อไม่ให้เจ้าสัตว์เหล่านี้ได้รับผลกระทบ
เมื่อมีต้นไม้ต้นหนึ่งเกิดป่วย ต้องมีการล้อมรั้ว พรวนดิน เด็ก ๆ มีพื้นที่วิ่งเล่นน้อยลง แต่พวกเขาก็ไม่ได้บ่น แต่กลับแสดงความเป็นห่วงเป็นใย สอบถามคุณครูว่าต้นไม้เป็นอะไร มีอะไรให้ช่วยได้บ้าง ทำให้เราเห็นว่าการได้ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติทำให้เกิดความรู้สึกของการเป็นเจ้าของร่วมกัน ซึ่งนั่นคือพันธกิจหนึ่งในการสอนเด็กยุคใหม่ที่จะต้องช่วยกันสร้างสมดุลในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นและธรรมชาติ
สถาปัตยกรรมไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมดนี้ขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าสถาปัตยกรรมสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เด็ก ๆ ได้กลับมาเชื่อมต่อกับธรรมชาติรอบตัวของเขาและหวังว่าเมื่อเด็ก ๆ ได้สัมผัส ได้มีประสบการณ์ร่วม พวกเขาจะได้เรียนรู้ที่จะรักและรักษ์ธรรมชาติ และช่วยกันดูแลโลกของเราต่อไป
“And the only way we’re going to raise up a generation of people who care about nature is by letting them touch nature.” – Emma Marris
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่
Facebook: Line: Website:Youtube:Tel: 02 463 1899